KOREAN NEWS

ปัจจุบัน เกาหลี ฟีเวอร์ - ทำไม? อนาคต ไทยแลนด์ฟีเวอร์ - ทำอย่างไร?
คอลัมน์ คนไทยทำได้   โดย บัณฑิต อึ้งรังษี

  เดือนนี้ผมมาอยู่กรุงโซลเกือบทั้งเดือน เพราะทาง Korean National Opera ได้เชิญให้มาคอนดักท์การแสดงอุปรากรอิตาเลียน เรื่อง La Traviata เป็นจำนวน 8 ครั้ง ตระเวนทัวร์ทั่วประเทศเกาหลี บุคลากรทางด้านเพลงคลาสสิคของเกาหลีในขณะนี้ มีความสามารถทัดเทียมกับระดับนานาชาติได้อย่างแน่นอน นักร้องโอเปร่าของเกาหลีที่ผมมาเทรนให้ ทุกคนได้ไปเรียนที่อิตาลีเป็นเวลานาน และได้รับการศึกษาและการเทรนอย่างดี ทุกคนพูดภาษาอิตาเลียนเป็นภาษาที่สอง กลายเป็นว่าผมต้องใช้ ภาษาอิตาเลียน ในการสื่อสารกับเขา แทนภาษาอังกฤษ
  แน่นอน ไม่ใช่เรื่องเพลงคลาสสิคอย่างเดียวที่เกาหลีเทียบเท่ากับนานาชาติ คนไทยทั่วไปก็ทราบดีว่าตอนนี้ ประเทศเกาหลีกำลังมาแรงมากในโลก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภาพยนตร์ หรือทีวี ดนตรี กีฬา แฟชั่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
คนรุ่นใหม่ของเกาหลี กำลัง "บุกโลก" -- ในอเมริกา และยุโรป
  นักศึกษาเกาหลีประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น บางครั้งเกินหน้าเกินตาเจ้าของประเทศ โรงเรียนดนตรีคลาสสิคอันดับหนึ่งของอเมริกา คือ จูลลิอาร์ด (Juilliard) ในนิวยอร์ก ที่เข้ายากมหาหิน มีแต่นักเรียนเกาหลีเต็มไปหมด นักกีฬาเกาหลีชนะรางวัลในระดับโลก เช่น เทวอน ปาร์ก อายุแค่ 17 ปี ชนะเหรียญทองการแข่งขันว่ายน้ำ ในวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา ในประเทศออสเตรเลีย
   ผมมาอยู่ที่นี่ก็เห็นความร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาของผู้คน วัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมสากล เช่น เพลงคลาสสิค และโอเปรา มีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งต่างจากประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นขาลงของวัฒนธรรม โดยเฉพาะเพลงคลาสสิค  แน่นอน ความสำเร็จของประเทศเกาหลีอย่างนี้ไม่ได้เกิดมาได้เพราะฟลุค แต่มีเหตุผล มีการลงทุนลงแรงอย่างมากมายมหาศาล ต่อเนื่องมาเป็นเวลาสิบๆ ปี ทั้งทางด้านนโยบายของรัฐบาล และตัวบุคคลแต่ละคนเอง
  พ่อตาของผม ชื่อ เจฟฟรีย์ โจนส์ เป็นชาวอเมริกัน แต่อยู่เกาหลีมา 27 ปี พูดภาษาเกาหลีได้เหมือนคนที่นี่ ขณะนี้เป็นคนสำคัญ และมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศนี้ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่บุคคลระดับผู้นำ ท่านได้เล่าว่า เมื่อท่านมาประเทศนี้ตอนแรกๆ ประเทศเกาหลีค่อนข้างล้าหลัง และยากจน แต่ภายในระยะเวลาไม่ถึง 30 ปี ได้ก้าวหน้าเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรือง มีอุตสาหกรรมหนัก และการส่งออกที่ทัดเทียมกับประเทศเจริญแล้ว อย่างอเมริกาหรือญี่ปุ่น และท่านนอกจากได้เห็นความเจริญอย่างรวดเร็วอันนี้มาตลอด ยังได้มีส่วนในการพัฒนาของประเทศนี้ด้วย โดยทางรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้ขอร้องให้ท่านมาเป็นส่วนที่สำคัญในมาตรการปราบปรามคอร์รัปชั่น ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีมาก เพราะสมัยก่อน เกาหลีใต้ก็มีปัญหาการคอร์รัปชั่นมากมาย ไม่ผิดกับบ้านเรา แต่สมัยนี้ดีขึ้นอย่างมากมาย เพราะคนทั่วไปเริ่มเข้าใจว่าประเทศชาติจะก้าวหน้าได้ช้ามาก ถ้ามีการคอร์รัปชั่น ผมเองก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้บ่อยพอสมควร รวมทั้งภรรยาก็เติบโตในเกาหลีใต้เป็นเวลามากกว่า 13 ปี จึงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับประเทศนี้ มากรองจากประเทศไทย และอเมริกา ผมว่ามันเป็นไปได้ ที่ในอนาคต ประเทศไทยจะมีกระแสเป็นเหมือนเกาหลีในตอนนี้
   ลองจินตนาการดูว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า หนังไทย "บุกโลก" ผู้คนต่างชาติเริ่มหันมาเรียนภาษาไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย มวยไทย ฯลฯ เป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ คนไทยไปต่างประเทศ มีแต่คนให้เกียรติ ไม่ถูกดูถูก ประเทศไทย มีชื่อเสียงในทางที่ดี (ในขณะนี้ ถ้าคนต่างชาตินึกถึงประเทศเรา สิ่งแรกที่เขาคิดคือ เรื่อง Sex Industry อย่างหนึ่งที่สังเกตได้ คือหนังฮอลลีวู้ด เมื่อไหร่ที่มีพูดพาดพิงถึงเมืองไทย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งคนไทยควรจะต้องช่วยเร่งแก้ภาพพจน์กันด่วน) นักกีฬาไทย ดาราหนังไทย นักดนตรีไทย เป็นที่นิยมชมชอบทั่วเอเชีย เป็น "ไทยแลนด์ ฟีเวอร์" เป็นไปได้ เป็นไปได้ เป็นไปได้ แต่บางสิ่งบางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง มีบางสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากคนเกาหลีได้ ผมถามมิสเตอร์เจฟฟรี โจนส์ พ่อตา ว่าทำไมประเทศเกาหลีจึงได้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว คุยกันไปคุยกันมาก็สรุปได้ดังนี้

1.คนเกาหลีทำงานหนักมาก เรื่องนี้ผมเห็นมากับตาตนเอง เพราะทำงานที่นี่บ่อย ชั่วโมงการทำงานของเขาต่ออาทิตย์เยอะมากจริงๆ และทำงานกันจริงๆ จังๆ ไม่อู้
 2.คนเกาหลีเป็นคนทะเยอทะยานมากๆ ซึ่งข้อนี้อาจจะต้องยกความดีให้กับพวกแม่ๆ เกาหลี เพราะปลูกฝังในเรื่องความขยัน ความสำเร็จ และการเอาชนะอุปสรรคให้กับลูก แม่ๆ ชาวเกาหลีจะเข้มต่อการศึกษาของลูกๆ มาก จะดันลูกตนเองแข่งขันกับคนอื่นตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ลูกขี้เกียจ
 3.คนเกาหลีไม่เป็น "กบในกะลา" นอกจากใจของเขามุ่งไปที่การแข่งขันระดับโลกแล้ว เขาไปสืบเสาะมาว่าคนเก่งๆ ในโลกเขาต้องทำอย่างไรกันบ้าง เขาเข้าใจว่าคนเก่งในโลกมีมากมาย เขาไม่มาหลอกตนเองว่าตนเองเก่งแล้ว พึงพอใจแล้ว ความทะเยอทะยานของเขา ดูที่โลกแห่งความจริง
 4.คนเกาหลีไม่บูชาคนต่างชาติ แม้กระทั่งฝรั่ง อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศเขาเคยถูกข่มเหงเป็นอย่างมากจาก ประเทศญึ่ปุ่น และจีน จึงไม่ค่อยเชื่อใจคนต่างชาติ แม้ฝรั่งที่มาทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เป็นฝรั่งประเภทที่หางานทำในประเทศตนเองไม่ได้ เลยมาอยู่ที่เกาหลี ถ้าคุณภาพไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิอยู่ หรือไม่ก้าวหน้า คนต่างชาติที่มาทำงานต้องพิสูจน์ตนเองทุกวัน ไม่ใช่ว่าได้เปรียบคนท้องถิ่น ทำไมข้อนี้ถึงมีส่วนในการพัฒนาประเทศ ? เพราะงานจะไม่ตกไปอยู่ในมือคนต่างชาติ ถ้าคนสองคน สมัครงานเดียวกัน คุณภาพไล่เลี่ยกัน คนหนึ่งเป็นคนเกาหลี อีกคนหนึ่งเป็นฝรั่ง แน่นอนคนเกาหลีต้องได้แน่ (ซึ่งแตกต่างจากบ้านเรา) ทำให้คนของเขาได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง และคนต่างชาติไม่มีความควบคุมมากเกินไปในประเทศของเขา
5.เขาคิดว่ามันเป็นไปได้ ที่เขาจะเก่งเหนือคนตะวันตกได้ เขาเริ่มพัฒนาตนเอง และอุตสาหกรรม ไปสู้กับต่างชาติได้ เช่น LG, Samsung ซึ่งตอนนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทัดเทียมหรือแซงหน้าแม้กระทั่ง Sony
6.เขาปราบคอร์รัปชั่นได้สำเร็จ ทำให้เหตุใหญ่ที่ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศลดลงไป

  ผมมีความเชื่อว่าประเทศไทยเราก็พัฒนาให้ยิ่งใหญ่ได้ ต้องพัฒนาบุคลากรในประเทศในเวลานี้ ในจำนวนประเทศในเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ประเทศของเราไม่ได้ถูกมองว่า "มาแรง" ประเทศเสือแห่งเอเชียในตอนนี้ เช่น จีน อินเดีย เกาหลี เวียดนาม มีแนวโน้มในอนาคตอย่างที่ประเทศเราไม่มีเลย คนของเราขยันสู้เขาไม่ได้ ตื่นตัวสู้เขาไม่ได้ และไม่มีระบบสนับสนุนคนเก่งที่เพียงพอ อัตราความก้าวหน้าของประเทศเรา ช้ากว่าแม้กระทั่งเวียดนาม คนงานเวียดนามมี productivity หรือ ประสิทธิผล มากกว่าคนงานไทย 5 เท่า และประเทศเขาก็มีคนมากกว่าเราถึง 11 ล้านคน ผมกลัวว่าอีกแค่ไม่กี่ปี ประเทศเวียดนามก็อาจแซงหน้าเราไปในหลายๆ เรื่อง (สำหรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเจริญและการตื่นตัวของประเทศเวียดนาม ติดตามอ่านไดที่ www.thaicoach.com/new/new_column_th.php?info_id=81 ผมคิดว่าการที่ในอนาคต เป็นไปได้ที่เมืองไทยจะเป็นชาติมีบุคลากรมีคุณภาพ ทัดเทียมกับต่างประเทศได้ แต่ต้องเปลี่ยนทัศนคติและอุปนิสัยของคนในชาติเสียก่อน นิสัยที่ทำงานลวกๆ ให้เสร็จๆ ไป ไม่ต้องดีหรือเลอเลิศมาก เป็นนิสัยที่ถ่วงความเจริญก้าวหน้ามาก (คนไทยเราอาจจะต้องจำตัวอย่างสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นอุทาหรณ์สอนใจ) และต้องทดแทนด้วยความปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งในโลกที่จะแข่งขัน ที่จะเป็นเยี่ยมเป็นเลิศ


ส่งความถามมาได้ที่ AskBundit@BunditMusic.com และอ่านบทความเดิมได้จาก www.Matichon.co.th หรือ www.BunditMusic.com
ที่มาจาก มติชน

푸미폰국왕 한마디에 달렸다

태국 反탁신 시위… 정국불안… 마지막 선택은?

  탁신 친나왓 태국 총리의 퇴진을 요구하는 반(反)정부 시위가 연일 계속되고 있는 가운데, 푸미폰 아둔야뎃 태국 국왕(78)이 태국 정국 방향을 가늠할 ‘핵심 변수’로 떠오르고 있다. 올해로 즉위 만 60주년을 맞는 푸미폰 국왕은 ‘살아있는 신(神)’이라는 별명으로 불릴 만큼, 6500만 태국인들의 국민적 존경을 한몸에 받고 있다.

  월스트리트저널(WSJ)은 15일 “태국 왕실 요청으로 6개 국영 방송사가 지난 12일 오후 8시 정규 방송을 취소하고 ‘1992년 민주화 사태’ 당시 국왕이 중재에 나선 영상물을 일제히 방송, 푸미폰 국왕이 현 정국 상황에 깊이 우려하고 있음을 보여주었다”고 보도했다.

  푸미폰 국왕은 1992년 군부정권 퇴진을 요구하는 민주화 시위에 대해, 군부정권이 발포로 맞서면서 사망자가 속출하는 유혈 사태를 빚자, 수친다 당시 총리와 민주화 시위를 주도했던 잠롱 스리무엉 등을 불러 강하게 질책한 다음 사태를 마무리지었다.

  WSJ은 이번 방송과 관련해 “친(親)·반(反) 탁신 진영 간의 맞불 시위로 태국 정정 혼란이 극심해지는 상황에서, 푸미폰 국왕이 1992년처럼 직접 정치 개입을 할 수 있다는 신호를 보낸 셈”이라고 분석했다. 이에 화답이라도 하듯, 북동부 부리암주(州)에서 유세 중인 탁신 총리는 15일 정국 타개를 위해 “일시 사임하는 방안을 고려하고 있다”고 말했다. 하지만 그는 “(일시사임은) 시위군중에 대한 굴복을 뜻하는 것은 아니다”라고 밝혔다.

  야당측도 한층 신중한 모습으로 바뀌었다. 방콕 중심가에서 지난 14일 최대 10만명이 참가한 가운데 열린 대규모 반정부 집회에서도 시위 지도부의 비폭력 평화 시위 방침에 따라 경찰 등과의 충돌은 발생하지 않았다.
  1946년 국왕에 즉위해 태국 역사상 가장 오래 권좌에 앉아 있는 푸미폰 국왕은 정치 위기 때마다 ‘물꼬’를 튼 주역으로 평가된다. 단적으로 그는 1973년 왕궁 문을 열어 반정부 시위 혐의로 수배 중이던 대학생들을 보호해 군부 정권에 불만을 표시했고, 1992년에는 군부 정권에 의해 임명된 수친다 총리의 하야와 망명을 직접 권유했다.

  문제는 푸미폰 국왕의 간접적인 정치 개입 ‘경고’를 친·반 탁신 진영이 ‘아전인수’격으로 해석하고 있다는 점. 탁신 진영은 “국왕이 반대파와 대화하라고 제안한 것”이라고 주장하는 반면, 반탁신측은 “탁신이 즉각 물러나라는 암시”라고 맞서고 있다.


홍콩=송의달특파원 edsong@chosun.com
입력 : 2006.03.16 02:45 40' / 수정 : 2006.03.16 05:24 44'--------www.chosun.com


태국의 ‘살아있는 神’


  푸미폰 국왕 즉위 60돌 ‘겸손한 권력’ 지향 갈수록 국민사랑 받아 9일 즉위 60돌을 맞은 태국의 푸미폰 아둔야뎃(78) 국왕은 국민들로부터 ‘살아있는 신’으로 존경받는다. 재위 기간 중 17번의 쿠데타 발생과 21명의 총리 교체가 있었지만, 그의 권위는 갈수록 힘이 실리고 있다. 카리스마 넘치는 그의 리더십은 어디에서 나오는 것일까.


  태국 언론은 그의 리더십 요체를 ‘겸손한 권력(reserve power·특별한 때에만 행사하는 권력)’으로 표현한다. ‘군림하되 통치하지 않는 방식’으로 정치에 직접 관여하지 않지만, 민생 안정과 민주주의 확립에 강력한 권위를 확보했다는 것이다. 그는 즉위 직후부터 시골 방문을 시작으로 ‘민중과 함께하는 왕’이라는 이미지를 구축했다.

  가령 1950년대부터 3000여 개의 ‘로열 프로젝트’를 진두 지휘했다. 북부 치앙마이 고산지대 화전민들을 위한 고랭지 채소 보급, 1970년대부터 ‘구름씨 뿌리기 작전’과 자체 개발한 인공강우 지휘 센터 설치 등이 대표적인 성공 사례이다. 유럽특허사무소(EPO)는 작년 10월 푸미폰 국왕의 인공강우 기술에 대해 특허를 발급했다.

  그는 또 어떠한 부정부패 스캔들에도 연루된 적이 없어, 최고의 도덕성을 갖췄다는 평가이다. 수년 전 푸미폰 국왕을 알현한 외국 정부 고위인사는 “푸미폰 국왕이 낡고 오래된 양복을 입고 있는 모습에 깊은 감동을 받았다”고 고백했다.

   9일 푸미폰 국왕이 방콕 왕궁 앞 로열 플라자에 운집한 군중을 향해 “모든 태국민이 국가를 보전하고 번영을 가져오는 데 바탕이 되는 것은 단합”이라고 말하자, 노란색 왕실기(旗)를 든 군중은 “국왕 폐하 만수무강하세요”를 연호했다. 일부 군중은 감격에 겨워 눈물을 흘렸다. 이날 정치권은 정치적 비난을 중단하기로 했고, 교도소의 16만 죄수들까지 국왕의 만수무강을 비는 종교 의식을 가졌다.


'เกาหลี' พิชิตโลก! [22 ธ.ค. 49 - 00:42]

  คนไทย “ไหว้ครูสวย” แต่ไหว้แล้ว “ไม่ต่อยมวย” เกาหลีเลย “แซงไป” อย่างเจ็บปวด...รัฐบาลเกาหลี เรียนงาน “การท่องเที่ยวจากไทย” สร้าง “KOREAN WAVE” (กระแสวัฒนธรรมเกาหลี) บุกไทยด้วยงบเพียง 2,000 ล้านบาท เท่านั้น-หลังจากนั้น แค่ 5 ปี (2544-2549) คนไทยกลายเป็นเหยื่อคลั่ง วัฒนธรรมเกาหลี-ศิลปินเกาหลี-อาหารเกาหลี -สินค้าเกาหลี-ภาพยนตร์ เกาหลี-ซีรี่ทีวี-เพลงเกาหลี-แฟชั่นเกาหลี แบบ “ไม่ลืมหูลืมตา!”
  คนไทยไม่ใช่ “เหยื่อรายแรกๆ”...หากถามแฟนเพลง-แฟนภาพยนตร์ เกาหลีที่มีอยู่ทั่วไปว่า ฟังและเข้าใจสักกี่เปอร์เซ็นต์? คำตอบคงไม่สำคัญเท่ากับว่า “ทำไมคนไทย-คนจีน-เวียดนาม หรือญี่ปุ่น จำนวนมากมหาศาล” ถึง “คลั่ง” ศิลปินนักร้อง-ดารานักแสดง ที่อบอวลด้วยกลิ่นอายของ กิมจิ...ตอนนี้เกาหลี “รับทรัพย์ถล่มทลาย” จากรายได้ทุกมุมโลก...“เกาหลีพิชิตโลก” เพราะ “รัฐบาล” เขา “เก่งจริง!”
  สิ่งเหล่านี้มิใช่ “บังเอิญ” แต่ “ส่งเสริมอย่างจริงจัง” ปี พ.ศ.2544 เกาหลีใต้ประกาศนโยบายเสริมสร้างวัฒนธรรมพื้นฐาน ในปี 2544 เป็น “ปีแห่งการท่องเที่ยว” โดยทุ่มงบแค่ 2,000 ล้านบาท ผลิตสื่อเผยแพร่ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย เฉลี่ยแล้วแต่ละปีจะมีคนไทยเดินทางไปเที่ยวเกาหลีเพิ่มขึ้นปีละกว่า 30% -ปีที่แล้วมีคนไทยไปเที่ยวเกาหลีถึง “8 แสนคน” และในปี ใหม่นี้ คาดว่าจะบ่ายหน้าไปเกาหลีถึง “1 ล้านคน!”
  คุณอัจฉริยะ (จารุ หรํ่าเดช) ผู้อำนวย การฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้ข้อมูลมาว่า รัฐบาลเกาหลีให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเผยแพร่ วัฒนธรรมทั้งการส่งออกสินค้าในกลุ่มบันเทิง “(ENTERTAINMENT) โดยตรง เป็นการต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นๆ มีการสร้างบุคลากรเพิ่มขึ้น-เปิดโรงเรียน “สอนภาพยนตร์” โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่ง “คนรุ่น ใหม่” ไปดูงานเสริมสร้างประสบการณ์ในต่างประเทศ ในปี 2544 กำหนดนโยบาย 5 ปี ในการ “ส่งเสริมอุตสาหกรรมโทรทัศน์” และตั้งเป้าเอาไว้ว่า ในปีหน้า (2550) เกาหลีจะเป็น “1 ใน 3 ของโลก” ที่จะแย่งชิง “เค้กก้อนใหญ่” ในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมของโลก ที่มีมูลค่าถึง “1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ” “(ทีวีไทย” มีตั้งหลายช่อง แต่ละช่อง “สมานฉันท์” กันยากเย็น!)
  กระทรวงวัฒนธรรมเกาหลี คาดว่ากระแสคลื่น “KOREAN WAVE” ในปี พ.ศ.2551 (อีก 2 ปีข้างหน้า) จะสามารถส่งออก “สินค้าวัฒนธรรม” ได้มากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ-การส่งออก “ละครเกาหลี” ในปี 2547 อยู่ที่ 71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นจากปี 2546 ถึง 69.6%) และสามารถ ส่งออกภาพยนตร์ เพิ่มขึ้นถึง 141% จาก 31 ล้านเหรียญ ในปี 2546 ไปอยู่ที่ระดับ 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ!
  เวลาแค่ 5 ปี “รัฐบาลเกาหลี” ยึดตลาดวัฒนธรรมได้สำเร็จ...ความรักชาติ-ความจริงจังในการ “สร้างชาติ” ทำไม่ยากหากคนไทย “ตั้งใจทำ” จะทำได้ “ก่อนชาติอื่น” ด้วยซํ้า...ปรบมือให้ “ลี ยอง เอ” นางเอก “แด จัง กึม”, ยุน อึน เฮ (นางเอก “เจ้าหญิงวุ่นวาย-เจ้าชายเย็นชา), พระเอกนักร้อง “เรน” กับพระเอก “ลี ดอง วุค” ที่มาไทยรายล่าสุด...เป็น “วีรสตรี-วีรบุรุษ” ฉุดให้เกาหลีมี “ศักดิ์ศรีที่เกริกไกร”!

ที่มา http://www.thairath.co.th/